ReadyPlanet.com
dot dot
dot
ข้อมูลอ้างอิง
dot
bulletกฎหมายอ้างอิงใน-ทัศนะฯ/ข่าวด่วนฯ
dot
ต้องการรับข่าวสารทาง E-mail โปรดกรอก Address

dot


หลักสูตรอบรม Update การภาษีอากรและบัญชี นับชั่วโมงได้ครบถ้วนสำหรับ TA/สำนักงานบัญชีตัวแทน พ่วงด้วยในส่วนของ CPA และผู้ทำบัญชีเก็บชั่วโมงบัญชีได้ 6 อื่นๆ 7 รวม 13 ชั่วโมง (รวมจรรยาบรรณ 1 ชั่วโมง)
ให้การอบรม/สัมมนาที่เข้มข้น และนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่เพียงถือว่าได้ผ่านการอบรมแล้ว แต่ปฏิบัติจริงไม่เป็น "หลักสูตรดี อบรมเข้ม เน้นปฏิบัติได้ ต้องที่ PAT. Training & Business"
ประมวลรัษฎากร ฉบับอิเลคโทรนิค โดยกรมสรรพากร....เพื่อการอ้างอิงที่ถูกต้องครบถ้วน
เวปไซต์ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เพื่อการอ้างอิงเกี่ยวกับการบัญชีและงบการเงิน
เวปไซต์ กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง เพื่อการอ้างอิงเกี่ยวกับการภาษีอากร
เวปไซต์ สภาวิชาชีพบัญชีฯ เพื่อการอ้างอิงของผู้ประกอบวิชาชีพบัญชี


ข้อมูลน้อยนิดคิดอะไรได้บ้าง? article

 

การวิเคราะห์กิจการจากข้อมูลงบการเงินที่ทราบเพียงบางส่วน
                วันนี้ผู้เขียนได้รับกระดาษมาหนึ่งแผ่นจากน้องคนหนึ่งผ่านมาทาง ภรรยาของผู้เขียน(อ้าวเลยรู้เลยว่ามีเมียแล้ว) น้องคนนั้นเธออยากทราบว่าหากมีข้อมูลเกี่ยวกับกิจการแห่งหนึ่ง อันได้มาจากข้อมูลอันเปิดเผยแก่ประชาชนที่สนใจโดยทั่วไป แน่นอนข้อมูลลักษณะนี้ย่อมขาดความสมบูรณ์หรือมีรายละเอียดของข้อมูลน้อย เว้นแต่หากเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ข้อมูลเกี่ยวกับกิจการต่างๆ นั้นก็จะมีค่อนข้างมากเพียงพอแก่การตัดสินใจของผู้สนใจลงทุนได้ในระดับหนึ่ง(ย้ำในระดับหนึ่งเท่านั้น แต่ถ้าต้องการในระดับเทพต้องค้นคว้าและวิเคราะห์เพิ่มเติมด้วยความชำนาญการเอาเองนะ) เมื่อบริษัทที่น้องเธอสนใจนี้อยู่นอกตลาดสด เอ๊ย! ตลาดหลักทรัพย์ฯ ข้อมูลที่เผยแพร่อันได้มาจากเวปไซต์ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า(www.dbd.go.th) จึงมีเพียงเท่าที่ปรากฏแก่ผมเพียงกระดาษแผ่นเดียวดังแสดงไว้ต่อไปนี้
เปรียบเทียบงบดุล (หน่วย : บาท)

 
31 ธ.ค. 49
31 ธ.ค. 48
สินทรัพย์
 
 
 ลูกหนี้การค้าและตั๋วเงินรับสุทธิ
n.a.
n.a.
 สินค้าคงเหลือ
222,000,000
221,000,000
 รวมสินทรัพย์หมุนเวียน
294,000,000
290,000,000
 ที่ดินอาคารและอุปกรณ์(สุทธิ)
2,600,000
600,000
รวมสินทรัพย์
297,000,000
291,000,000
หนี้สินและทุน
 
 
 เจ้าหนี้การค้าและตั๋วเงินจ่าย
n.a.
n.a.
 รวมหนี้สินหมุนเวียน
10,000,000
1,000,000
รวมหนี้สิน
10,000,000
1,000,000
รวมส่วนของผู้ถือหุ้น
287,000,000
290,000,000
ทุนจดทะเบียน
300,000,000.00
300,000,000.00

 
เปรียบเทียบงบกำไรขาดทุน (หน่วย : บาท)

 
31 ธ.ค. 49
31 ธ.ค. 48
รายได้หลัก
7,000,000
n.a.
 รวมรายได้
9,000,000
1,500,000
ต้นทุนขาย
5,000,000
n.a.
ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร
9,000,000
7,000,000
ดอกเบี้ยจ่าย
n.a.
n.a.
ภาษีเงินได้
n.a.
n.a.
รวมรายจ่าย
14,000,000
9,000,000
กำไร (ขาดทุน) สุทธิ
(5,000,000)
(7,500,000)
กำไรต่อหุ้น (บาท)
(1.67)
(2.50)

                จากข้อมูลข้างต้นก็พอจะวิเคราะห์ให้ฟังได้ในสไตล์ของผู้เขียนเองนะ ก่อนอื่นใดก็ให้ลองถอดรหัสข้อมูลที่ขาดหายไปจากข้อมูลที่มี ก็จะพอทราบได้อย่างเช่น
 
1.     แม้จะไม่ทราบได้ถึงยอดลูกหนี้และตั๋วเงินรับสุทธิของกิจการ แต่ทราบได้ว่ากิจการนี้ มีสินทรัพย์หมุนเวียนซึ่งไม่รวมสินค้าคงเหลือ อันอาจเรียกได้ว่าเป็นสินทรัพย์ที่หมุนเร็ว(แปรสภาพเป็นเงินสดได้เร็ว ไม่ต้องใช้เวลาในการขายนานเช่นสินค้าคงเหลือ) ในปี 49 อยู่เป็นเงิน 72 ล้านบาท(สินทรัพย์หมุนเวียนรวม 294 ล้านลบด้วยสินค้าคงเหลือ 222 ล้าน) และปี 48 เป็นเงิน 69 ล้านบาท(สินทรัพย์หมุนเวียนรวม 290 ล้านลบด้วยสินค้าคงเหลือ 221 ล้าน)
2.     กิจการมีสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนอื่นนอกเหนือจากส่วนที่เป็นที่ดินอาคารและอุปกรณ์สุทธิ ในปี 49 เป็นเงิน 400,000 บาท(สินทรัพย์รวม 297 ล้านลบด้วยที่ดินอาคารและอุปกรณ์สุทธิ 2,600,000 แล้วลบด้วยสินทรัพย์หมุนเวียนรวม 294 ล้าน) และปี 48 เป็นเงิน 400,000 บาท(สินทรัพย์รวม 291 ล้านลบด้วยที่ดินอาคารและอุปกรณ์สุทธิ 600,000 แล้วลบด้วยสินทรัพย์หมุนเวียนรวม 290 ล้าน)
3.     กิจการมีทุนจดทะเบียน 300 ล้านบาท(อนุมานว่าเป็นทุนจดทะเบียนและเรียกชำระแล้วนะ) แต่เหตุไฉน ส่วนของผู้ถือหุ้นจึงมีอยู่ไม่ถึง 300 ล้านบาทหล่ะ นั่นคืออะไร? ก็คือว่ากิจการมีผลขาดทุนสะสมนะซิ เลยเป็นเหตุอันกินทุนจดทะเบียนนั้นให้แสดงออกมาว่าส่วนของผู้ถือหุ้นมีคงเหลืออยู่ไม่เต็ม 300 ล้านบาท แล้วขาดทุนสะสมเท่าไรหล่ะ ในปี 49 กิจการมีผลขาดทุนสะสมอยู่ 13 ล้านบาท(ทุน 300 ล้านลบด้วยส่วนของผู้ถือหุ้น 287 ล้าน) และปี 48 มีผลขาดทุนสะสมอยู่ 10 ล้านบาท(ทุน 300 ล้านลบด้วยส่วนของผู้ถือหุ้น 290 ล้าน)
4.     เป็นการต่อเนื่องลองสอบยันยอดผลขาดทุนสะสมที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงดูซิว่าตรงกับยอดกำไร(ขาดทุน)สุทธิประจำปีหรือเปล่าน๊า? จากข้อ 3.ขาดทุนสะสมเพิ่มขึ้น 3 ล้านบาท(ขาดทุนสะสมปี 49 จำนวน 13 ล้านลบด้วยขาดทุนสะสมปี 48 จำนวน 10 ล้าน) แต่เมื่อไปดูที่งบกำไรขาดทุนพบว่าในปี 49 กิจการมีผลขาดทุนสุทธิ 5 ล้านบาท เหตุไฉนขาดทุนสะสมจึงขาดทุนเพิ่มขึ้นเพียง 3 ล้านบาทหล่ะ ทำไมไม่ขาดทุนสะสมเพิ่มขึ้น 5 ล้านบาท ผลขาดทุนสะสมลดลงหายไปไหน 2 ล้านบาทถ้วนนะ มีปัจจัยอะไรบ้างที่มีผลทำให้ขาดทุนสะสมลดลง(หรืออาจกล่าวได้ว่าทำให้กำไรสะสมเพิ่มขึ้นนั่นเอง) ขอสมมติในเบื้องต้นไว้ก่อนตามความเห็นส่วนตัวนะครับ ว่าในปี 49 นี้กิจการน่าจะมีการปรับปรุงยอดผลกำไร(ขาดทุน)สะสมยกมาจากปี 48 เป็นเงิน 2 ล้านบาทถ้วน(ปรับปรุงผลกำไรของงวดบัญชีปีก่อนๆ ที่ผ่านมาแล้ว)
5.     กิจการมีรายได้อื่นซึ่งไม่ใช่รายได้หลักในปี 49 เป็นเงิน 2 ล้านบาท(รายได้รวม 9 ล้านลบด้วยรายได้หลัก 7 ล้าน) ส่วนในปี 48 ยอดรวมรายได้ก็คือรายได้อื่นที่ไม่ใช่รายได้หลักทั้งจำนวนนั่นเอง เนื่องจากในการส่งข้อมูลต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้านั้น บังคับให้กิจการต้องระบุรายได้หลัก เมื่อไม่ได้ระบุแยกออกมาให้เห็น จึงอนุมานได้ว่าเป็นรายได้อื่นที่ไม่ใช่รายได้หลัก 1,500,000 บาท ผลต่อเนื่องเมื่อในปี 48 ไม่มีรายได้หลักดังนั้นตามหลักการก็จึงไม่ควรมีต้นทุนขายด้วย
6.     เนื่องด้วยกิจการมีผลขาดทุนสุทธิประจำปี และยังมีผลขาดทุนสะสมทั้งในปี 49 และปี 48 ดังนั้นจึงอนุมานได้ว่ากิจการไม่ควรมีภาระภาษีเงินได้นิติบุคคล ยอดเงินภาษีเงินได้ในงบกำไรขาดทุนของกิจการทั้งปี 49 และปี 48 จึงไม่มี(เป็นศูนย์)
 
7.     ผลต่างในยอดรายจ่ายรวมของกิจการในแต่ละปีกับต้นทุนขายและค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร ก็คือค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยของกิจการนั่นเอง ดังนั้นในปี 49 กิจการไม่มีดอกเบี้ยจ่าย (รายจ่ายรวม 14 ล้านลบด้วยต้นทุนขาย 5 ล้านแล้วลบด้วยค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 9 ล้านคงเหลือเท่ากับศูนย์) และปี 48 กิจการมีดอกเบี้ยจ่ายเท่ากับ 2 ล้านบาท(รายจ่ายรวม 9 ล้านลบด้วยค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 7 ล้าน)
8.     ข้อสังเกตเพิ่มเติมประกอบกับที่ได้ว่าไว้ในข้อ 4. นะครับจะเห็นว่ายอดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยในปี 49 ไม่มีหรือลดลงไปจากปี 48 จำนวน 2 ล้านบาทบังเอิญเกินไปหรือเปล่าที่เท่ากันพอดีกับผลขาดทุนสะสมที่ขาดทุนน้อยลงไป 2 ล้านบาท ซึ่งผู้เขียนได้สมมติฐานไว้แล้วว่าน่าจะมีการปรับปรุงยอดขาดทุนสะสมยกมา ตอนนี้จะชัดเจนขึ้นว่าฟันธงได้เลยว่ากิจการมีการปรับปรุงยอดขาดทุนสะสมยกมาจากปี 48 ในงบบัญชีปี 49 เนื่องจากมีการคิดดอกเบี้ยจ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้นทุนของกิจการไว้ 2 ล้านบาทในปี 48 อันเป็นการต้องห้ามทั้งทางหลักบัญชีและหลักภาษี ค่าดอกเบี้ยจ่ายในปี 48 จำนวน 2 ล้านบาทนั้นไม่ใช่ค่าดอกเบี้ยของหนี้สินหมุนเวียนจำนวน 10 ล้านบาทแน่ๆ ไม่เช่นนั้นจะเป็นอัตราดอกเบี้ยที่สูงที่สุดในโลกแล้วหล่ะ เมื่อเงินต้น 10 ล้านต้องเสียดอกเบี้ย 2 ล้านบาท เมื่อผิดหลักบัญชี ผู้สอบบัญชีต้องบังคับให้กิจการปรับปรุงยอดขาดทุนสะสมให้ถูกต้องเสียใหม่ ประหนึ่งว่าในปี 48 ไม่มีดอกเบี้ยจำนวนนี้เกิดขึ้น แต่อย่าเข้าใจผิดนะครับทางบัญชีเราจะแก้ที่ยอดยกมาของบัญชีกำไร(ขาดทุน)สะสม เราไม่ไปแก้งบใหม่แล้วยื่นงบใหม่นะครับ แต่ถ้าจะวิเคราะห์ให้แม่นยำ ต้องรู้ข้อมูลนี้นะครับ หากเรามีงบการเงินแบบเต็มรูปของกิจการนี้อยู่ในมือ เราจะเห็นข้อมูลนี้ในหมายเหตุประกอบงบการเงินของปี 49 เปิดเผยไว้ให้ทราบแน่ๆ ว่ามีการปรับปรุงเพราะเหตุใด
 
ไม่ต้องคิดมากจนเกินไปนะครับ ว่าผมมีแต่อนุมาน อนุมาน แล้วก็อนุมาน สมมติ สมมติ แล้วก็สมมติ หลักการวิเคราะห์นั้น เราต้องการเสาะหาข้อมูลเพิ่มเติมให้ละเอียดมากขึ้นเท่าที่จะพิจารณาได้จากร่องรอยที่มีอยู่ มิได้ต้องการความถูกต้อง 100% ว่ากิจการได้บันทึกข้อมูลที่เราพบเพิ่มเติมมาได้นั้นในบัญชีหรือรายการเหมือนกับที่เราอนุมานหรือสมมติหรือไม่ เพราะเราไม่อาจเข้าถึงข้อมูลภายในของกิจการได้ เราเพียงแต่ให้เห็นภาพชัดมากขึ้น เห็นจิ๊กซอว์ที่สมบูรณ์กว่าที่เป็นอยู่ในเบื้องต้นที่ได้ข้อมูลมา เปรียบได้กับเราเห็นแขกเดินมาแต่ไกลๆ ในฐานะเจ้าบ้านที่ดีเราก็อยากเตรียมเครื่องดื่มไว้ต้อนรับ แต่เนื่องจากทัศนวิสัยไม่ดี จึงไม่รู้ว่าแขกท่านนั้นเป็นหญิงหรือชาย จะเตรียมวิสกี้หรือน้ำส้มให้แขกดี แต่หากว่าเราหาข้อมูลได้เพิ่มเติมมากขึ้นพอที่จะทราบได้เลาๆ ว่าแขกที่กำลังมานั้นผมยาวสลวยและนุ่งกระโปงมา(แม้จะไม่รู้ว่าผมสีอะไร กระโปงทรงไหน ยี่ห้ออะไร สีอะไร) เราก็พอสรุปเอาได้ว่าน่าจะเป็นผู้หญิง งั้นก็ต้องเตรียมน้ำส้มไว้ให้ แต่ก็อาจพลาดได้ มาใกล้ๆ อาจกลายเป็นผู้ฉิงไป ชอบวิสกี้มากกว่า การวิเคราะห์ก็เช่นกัน อาจพลาดได้ แต่มีประโยชน์ที่ควรต้องทำนะ
 
                จากผลที่ได้ทั้ง 8 ข้อข้างต้น เราก็สามารถปรับปรุงข้อมูลที่ได้มาให้ชัดเจนมากขึ้น และในขณะเดียวกันก็ขอหาผลต่างในแต่ละรายการไปพร้อมกันเลย เพื่อเป็นการเปรียบเทียบระหว่างทั้งสองปี ว่ามีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขั้นหรือลดลงอย่างไร ในแต่ละรายการ ตามตารางข้อมูลที่ได้ทำขึ้นใหม่ข้างล่างนี้ (นี่ยังไม่เริ่มใช้เครื่องมือทางการเงินต่างๆ มาทำการวิเคราะห์เลยนะ)
 
 
 
 
เปรียบเทียบงบดุล (หน่วย : บาท)

 
31 ธ.ค. 49
31 ธ.ค. 48
ผลต่าง
สินทรัพย์
 
 
 
 สินทรัพย์หมุนเร็ว
72,000,000
69,000,000
3,000,000
 สินค้าคงเหลือ
222,000,000
221,000,000
1,000,000
 รวมสินทรัพย์หมุนเวียน
294,000,000
290,000,000
4,000,000
 ที่ดินอาคารและอุปกรณ์(สุทธิ)
2,600,000
600,000
2,000,000
 สินทรัพย์ที่ไม่หมุนเวียนอื่นๆ
400,000
400,000
-
รวมสินทรัพย์
297,000,000
291,000,000
6,000,000
หนี้สินและทุน
 
 
 
 เจ้าหนี้การค้าและตั๋วเงินจ่าย
n.a.
n.a.
n.a.
 รวมหนี้สินหมุนเวียน
10,000,000
1,000,000
9,000,000
รวมหนี้สิน
10,000,000
1,000,000
9,000,000
ทุนจดทะเบียนและชำระแล้ว
300,000,000.00
300,000,000.00
-
กำไร(ขาดทุน)สะสม
(13,000,000)
(10,000,000)
(3,000,000)
รวมส่วนของผู้ถือหุ้น
287,000,000
290,000,000
(3,000,000)
รวมหนี้สินและส่วนของผู้ถือหุ้น
297,000,000
291,000,000
6,000,000
ทุนจดทะเบียน
300,000,000.00
300,000,000.00
-

 
เปรียบเทียบงบกำไรขาดทุน (หน่วย : บาท)

 
31 ธ.ค. 49
31 ธ.ค. 48
ผลต่าง
รายได้หลัก
7,000,000
-
7,000,000
รายได้อื่น
2,000,000
500,000
 รวมรายได้
1,500,000
7,500,000
ต้นทุนขาย
5,000,000
-
5,000,000
ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร
9,000,000
2,000,000
ดอกเบี้ยจ่าย
-
2,000,000
(2,000,000)
ภาษีเงินได้
-
-
-
รวมรายจ่าย
14,000,000
9,000,000
5,000,000
กำไร (ขาดทุน) สุทธิ
2,500,000
กำไรต่อหุ้น (บาท)
0.83
จำนวนหุ้นเฉลี่ย (โดยประมาณ)
3 ล้านหุ้น
3 ล้านหุ้น
-

 
 
 
                จากตารางข้อมูลที่ได้จะพอเห็นภาพการเปลี่ยนแปลงในฐานะทางการเงินและกิจกรรมของกิจการได้ว่าเพิ่มขึ้นหรือลดลงเมื่อเปรียบเทียบกันสองปี แต่เพื่อให้ชัดเจนและเป็นที่คุ้นเคยกันดี เราชอบที่จะดูการเปลี่ยนแปลงเป็นร้อยละหรือเปอร์เซ็นต์ ก็จะปรับปรุงตารางทั้งสองได้ดังนี้
เปรียบเทียบงบดุล (หน่วย : บาท)

 
31 ธ.ค. 49
31 ธ.ค. 48
ผลต่าง(บาท)
ผลต่าง(%)
สินทรัพย์
 
 
 
 
 สินทรัพย์หมุนเร็ว
72,000,000
69,000,000
3,000,000
4.35
 สินค้าคงเหลือ
222,000,000
221,000,000
1,000,000
0.45
 รวมสินทรัพย์หมุนเวียน
294,000,000
290,000,000
4,000,000
1.38
 ที่ดินอาคารและอุปกรณ์(สุทธิ)
2,600,000
600,000
2,000,000
333.33
 สินทรัพย์ที่ไม่หมุนเวียนอื่นๆ
400,000
400,000
-
-
รวมสินทรัพย์
297,000,000
291,000,000
6,000,000
2.06
 เจ้าหนี้การค้าและตั๋วเงินจ่าย
n.a.
n.a.
n.a.
n.a.
 รวมหนี้สินหมุนเวียน
10,000,000
1,000,000
9,000,000
900.00
รวมหนี้สิน
10,000,000
1,000,000
9,000,000
900.00
ทุนจดทะเบียนและชำระแล้ว
300,000,000
300,000,000
-
-
กำไร(ขาดทุน)สะสม
(13,000,000)
(10,000,000)
(3,000,000)
(30.00)
รวมส่วนของผู้ถือหุ้น
287,000,000
290,000,000
(3,000,000)
(1.03)
รวมหนี้สิน / ส่วนของผู้ถือหุ้น
297,000,000
291,000,000
6,000,000
2.06
ทุนจดทะเบียน
300,000,000
300,000,000
-
-

 
เปรียบเทียบงบกำไรขาดทุน (หน่วย : บาท)

 
31 ธ.ค. 49
31 ธ.ค. 48
ผลต่าง(บาท)
ผลต่าง(%)
รายได้หลัก
7,000,000
-
7,000,000
100.00
รายได้อื่น
2,000,000
1,500,000
500,000
33.33
 รวมรายได้
9,000,000
1,500,000
7,500,000
500.00
ต้นทุนขาย
5,000,000
-
5,000,000
100.00
ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร
9,000,000
7,000,000
2,000,000
28.57
ดอกเบี้ยจ่าย
-
2,000,000
(2,000,000)
(100.00)
ภาษีเงินได้
-
-
-
-
รวมรายจ่าย
14,000,000
9,000,000
5,000,000
55.56
กำไร (ขาดทุน) สุทธิ
(5,000,000)
(7,500,000)
2,500,000
(33.33)
กำไรต่อหุ้น (บาท)
(1.67)
(2.50)
0.83
33.20
จำนวนหุ้นเฉลี่ย (โดยประมาณ)
3 ล้านหุ้น
3 ล้านหุ้น
-
-

 
                จะเห็นได้ว่าจากตอนต้นมาจนถึงบัดเดี๋ยวนี้ ผู้เขียนใช้เพียงความรู้ทางพีชคณิต คือการบวก การลบ การคูณ และการหาร เท่านั้นเองนะ ยังไม่ได้ใช้ความรู้ระดับที่สูงกว่านี้แต่อย่างใด ณ จุดนี้เราก็พอที่จะวิเคราะห์กิจการนี้ได้บ้างแล้วนะ ซึ่งจะสามารถตอบคำถามหรือฟันธงได้บ้างในบางประเด็น แต่หากต้องการความถูกต้อง ชัดเจนเพิ่มขึ้นอีก ก็จำเป็นต้องใช้เครื่องมือมาวิเคราะห์มากขึ้นนะ เอ้า! ลองมาดูกันหน่อยซิว่ากิจการนี้เป็นเช่นไรบ้าง
               ก) ดูที่สินทรัพย์รวมของกิจการหากพิจารณาที่เปอร์เซ็นต์เพิ่มขึ้นอาจดูแล้วเห็นว่าไม่มากนัก เนื่องจากเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นจากปี 48 เพียง 2.06% แต่หากพิจารณาที่จำนวนเงินก็มากอยู่นะ มีการลงทุนในสินทรัพย์เพิ่มขึ้นจากปี 48 จำนวน 6 ล้านบาท ตามดูกันในรายละเอียดเพิ่มเติมต่อไปก็จะพบว่าการลงทุนที่เพิ่มขึ้นนี้น้ำหนักจะอยู่ที่
                                (1) ลงทุนเพิ่มในสินทรัพย์หมุนเวียนอื่นๆ นอกเหนือไปจากสินค้า หรือที่อาจเรียกได้ว่าเป็นสินทรัพย์หมุนเร็วนั้นจำนวน 3 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 4.35% ตรงนี้ขอฟันธงว่าน่าจะเป็นข้อเสียมากกว่าข้อดี เนื่องจากการลงทุนในสินทรัพย์หมุนเร็ว จะเป็นการดีต่อจุดประสงค์เกี่ยวกับมีความจำเป็นในการจ่ายชำระคืนหนี้สินหมุนเวียน ซึ่งหากดูจากยอดสินทรัพย์หมุนเวียนของกิจการ 294 ล้านบาท เทียบกับยอดหนี้สินหมุนเวียน 10 ล้านบาท แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไม่มีปัญหาในการจ่ายคืนชำระหนี้ระยะสั้นอย่างแน่นอน  แต่กลับจะเป็นผลร้ายคือทำให้กิจการเสียโอกาสในการทำธุรกิจหรือทำกำไร เนื่องจากสินทรัพย์หมุนเวียนหรือหมุนเร็ว ต่างก็ให้ผลตอบแทนในการลงทุนที่ต่ำมากเมื่อเทียบการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรหรือสินทรัพย์ระยะยาว จะเห็นชัดเจนยิ่งขึ้นกว่านี้ ถ้าหากทราบยอดของลูกหนี้และตั๋วเงินรับสุทธิ ก็จะทำการวิเคราะห์คุณภาพลูกหนี้ให้เพิ่มเติมได้ สรุปก็คือกิจการยังมีการบริหารจัดการการลงทุนในส่วนของสินทรัพย์หมุนเวียนยังไม่เหมาะสม เนื่องจากให้น้ำหนักการลงทุนในส่วนนี้สูงเกินความจำเป็น หากจะแย้งว่าเป็นการลงทุนเพื่อรองรับกิจกรรมการขายสินค้าตามปกติ ก็ฟังได้ยากเนื่องจากกิจการก็ได้มีการลงทุนในสต๊อกสินค้ารองรับกิจกรรมการขายไว้อยู่แล้ว ดังปรากฏในยอดสินค้าคงเหลือ ซึ่งกิจการลงทุนไว้ไม่น้อยมีสินค้าคงเหลือในปี 49 เป็นเงินสูงถึง 222 ล้านบาท โดยหากเทียบกับยอดขายในปี 49 ซึ่งมีเพียง 7 ล้านบาท ยิ่งชัดเจนและฟันธงได้อีกด้วยซ้ำไปอีกว่ากิจการมีสต๊อกสินค้าสูงเกินความจำเป็นอีกด้วย ทั้งนี้หากมีข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเจ้าหนี้หรือตั๋วเงินจ่าย หรือยอดซื้อสินค้าสุทธิด้วย ก็จะยิ่งใช้ในการวิเคราะห์การบริหารสินค้าคงคลังได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ว่ากิจการบริหารสต๊อกได้เหมาะสมหรือไม่ แต่ในเบื้องต้นนี้เห็นว่ากิจการน่าจะมีปัญหาสต๊อกบวมด้วยในขณะนี้
                                (2) ลงทุนในที่ดินอาคารและอุปกรณ์เพิ่มขึ้น 2 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 333.33% ส่วนนี้น่าจะเป็นนิมิตหมายที่ดีในการบริหารจัดการการลงทุนของกิจการ มีการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรซึ่งโดยปกติแล้วจะให้ผลตอบแทนกลับสู่กิจการสูงกว่าการลงทุนในสินทรัพย์หมุนเวียน จะชัดเจนขึ้นหากทราบว่าโดยรายละเอียดแล้วเป็นการลงทุนในสินทรัพย์อะไร ที่ดิน หรืออาคาร หรืออุปกรณ์ หากลงทุนในอุปกรณ์ซึ่งการหมายถึงเครื่องมือเครื่องจักรนั่นเอง ก็จะยิ่งเห็นอนาคตที่สดใส หากดูข้อมูลในปี 48 ของกิจการจากยอดเงินในรายการสินค้าคงเหลือที่มีจำนวนเงินสูงไม่ต่างกันมากนักกับปี 48 แต่จำนวนเงินที่ดินอาคารและอุปกรณ์ในปี 48 กลับมีน้อยมาก สมมติฐานได้สองประการว่า กิจการอาจเป็นการทำธุรกิจแบบซื้อมา-ขายไป ซึ่งจะมี Margin ในการค้าขายไม่มากนัก หรือประการที่สองหากกิจการเป็นธุรกิจผลิตสินค้าเพื่อขาย ซึ่งจะมี Margin ในการค้าขายสูงกว่านั้น ก็น่าจะอยู่ในลักษณะที่ว่า ที่ดินอาคารและอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตสินค้าเพื่อขาย อาจได้มาโดยการเช่าใช้ หรืออาจจะมีการจ้างผลิต Outsourcing เป็นสำคัญ แต่มีการลงทุนเพิ่มขึ้นก็อาจกำลังดำเนินการผลิตสินค้าเองมากขึ้น หรือจัดหาเครื่องมือเครื่องจักรมาทำการผลิตเองมากขึ้น เป็นการลงทุนเพื่ออนาคตในการทำกำไรที่ดีขึ้นของกิจการ สรุปกิจการมีทิศทางในการลงทุนในส่วนของที่ดินอาคารและอุปกรณ์เพิ่มขึ้น จะมีผลดีต่อกิจการในด้านความสามารถในการทำกำไรในอนาคต แต่ยังควรต้องเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในส่วนนี้ให้มากขึ้นเมื่อพิจารณาเทียบเคียงกับการลงทุนในสินทรัพย์หมุนเวียน
                ข) เมื่อดูแหล่งที่มาของเงินทุนแล้วพบว่า กิจการมีแหล่งเงินทุนหลักจากส่วนของเจ้าของนั่นคือ หุ้นทุนเป็นเงิน 300 ล้านบาท ไม่มีแหล่งเงินทุนจากการกู้ยืมระยาว มีเพียงการจัดหาจากแหล่งระยะสั้นหรือหนี้สินหมุนเวียน แต่ก็มีสัดส่วนไม่มากเนื่องจากในปี 49 มีจำนวนเพียง 10 ล้านบาท และยังคงมีการคุ้มครองโดยสินทรัพย์หมุนเวียนของกิจการอย่างล้นเหลือ สรุปได้ว่ากิจการมีจุดแข็งในการที่เงินทุนของกิจการมาจากเจ้าของ มีภาระหนี้สินต่ำส่งผลให้กิจการมีความเสี่ยงในการชำระหนี้ต่ำมาก พูดง่ายๆ คือกิจการนี้รวยว่างั้นก็ได้ มีหนี้น้อย แต่ก็ถือว่าเป็นข้อด้อยหรือจุดอ่อนได้ในทางกลับกันคือ กิจการมีความกดดันที่ต้องทำกำไรให้ได้ในอัตราสูงเพื่อให้เพียงพอต่อการตอบแทนกลับให้แก่ผู้ถือหุ้น หากทำกำไรได้ไม่ดี ผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้นก็จะต่ำไปด้วย หรือที่นักลงทุนโดยทั่วไป รู้จักกันในชื่อที่เรียกว่า “กำไรต่อหุ้น” นั่นเอง แต่เนื่องจากกิจการนี้ไม่ได้อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ผู้ถือหุ้นก็คือเจ้าของหรือผู้บริหารเป็นกลุ่มเดียวกัน กำไรต่อหุ้นจึงอาจดูไม่ค่อยมีน้ำหนักนัก ลองมองกันแบบพื้นๆ นะครับ หากท่านเป็นเถ้าแก่ของกิจการนี้ มีเงินอยู่ 300 ล้านบาทท่านนำมาลงทุนตั้งกิจการนี้ บริหารจัดการด้วยความทุ่มเทและเหน็ดเหนื่อย ถามหน่อยเถอะท่านต้องการผลตอบแทนสักเท่าไร เท่าดอกเบี้ยเงินฝาก หรือพันธบัตรรัฐบาล หรือหุ้นกู้หรือตั๋วสัญญาใช้เงินของสถาบันการเงิน เพียงพอไหม แน่นอนตอบได้เลยว่าเป็นไงครับ ต้องมากกว่านั้นซิคร๊าบ ไม่งั้นจะตัองมาเหนื่อยกายเหนื่อยใจให้มันเมื่อยตุ้มทำไม? นั่นคือเหตุผลแบบบ้านๆ ที่ผู้เขียนพยายามจะให้ท่านได้เข้าใจคำกล่าวที่ว่า “การจัดหาเงินทุนของกิจการด้วยการออกหุ้นทุน เป็นวิธีการจัดหาเงินทุนที่มีต้นทุนสูงกว่าการกู้ยืม” เพราะผู้ถือหุ้นทุนคาดหวังผลตอบแทนไว้สูงกว่าที่ผู้ให้กู้ต้องการ ก็คือสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยนั่นเอง
                ค) หากพิจารณาจากงบกำไรขาดทุนเปรียบเทียบนั้น ยังบอกอะไรไม่ได้มากในเบื้องต้น ดูๆ แบบผิวเผินจากข้อมูลก็น่าจะดี หากมองในแง่พัฒนาการ เนื่องจากมีผลขาดทุนลดลงจากปี 48 จำนวน 2 ล้าน 5 แสนบาทหรือขาดทุนลดลง 33.33% ใช้เพียงแค่เครื่องมือระดับมัธยมด้วยหลักพีชคณิตแค่นี้วิเคราะห์คงไม่พอ
                เป็นอย่างไรบ้างครับสำหรับการวิเคราะห์เบื้องต้นด้วยคณิตศาสตร์ง่ายๆ ในตอนต่อไปเราจะลองนำเทคนิควิธีการในระดับปริญญามาใช้วิเคราะห์เพื่อภาพที่ชัดเจนของกิจการนี้มากยิ่งขึ้นนะครับ
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 




บทความและข่าวสารบัญชี

ความตลกที่ขำไม่ออก ในวิชาชีพบัญชี เมื่อเจ้าหน้าที่ธนาคารถูกนักบัญชี “อำ” article
เงินกู้ยืมกรรมการในงบการเงิน article
ปัญหางบการเงินของ-หจก. article



Copyright © 2010 All Rights Reserved.